อสังหาริมทรัพย์ รับจำนองขายฝาก บริการรับจำนอง เจ้าหนี้ต้องกำหนดเนื้อหาของหนี้แล้วก็ขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันตามมาตรา 681 เดิม ระบุว่า “การรับประกันครอบคลุมถึงหนี้ในอนาคตหรือหนี้สินมีเงื่อนไข จะรับรองไว้เพื่อสถานะการณ์ซึ่งหนี้สิน นั้นบางทีอาจสำเร็จได้จริง ก็ประกันได้" แสดงว่า ข้อบังคับสารภาพให้ผู้ค้ำประกัน ตกลงเข้ารับประกันในหนี้สินที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ดังเช่น ลูกหนี้ตกลงกับเจ้าหนี้ว่า แม้รัฐบาลค้ำประกันราคาข้าว ที่ 15,000 บาทต่อเกวียน ลูกหนี้จะจ่ายหนี้จำนวน 100,000 บาทข้างในวันที่ 30 เมษายน 2558 แบบนี้เป็นหนีในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นต่อเมื่อข้อแม้เรื่องการรับประกันราคาข้าวเกิดขึ้นจริงก่อนหากรัฐบาลประกาศรับรับรองราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียนเมื่อใด ก็จึงจัดว่ามีหนี้ต่อกันแล้วก็มีบทบาทจะต้องชำรำหนี้สินเกิดขึ้น ซึ่งหากลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายด้านในกำหนดเวลา เจ้าหนี้ก็จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระแทนได้ในทางปฏิบัติเจ้าหนี้เยอะๆกลับใช้บทบัญญัติดังที่กล่าวถึงแล้วเป็นหนทางที่ทำให้การค้ำประกันเป็นการชำระหนี้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด โดยกำหนดเงื่อนไขในอนาคตที่ทำให้ผู้ค้ำประกันไม่มีช่องทางรู้ว่าจำเป็นต้องยอมสารภาพในมูลหนี้ใดบ้างเป็นจำนวนเยอะแค่ไหน ดังเช่นว่า อสังหาริมทรัพย์ รับจำนองขายฝาก บริการรับจำนอง ระบุว่า ถ้าเกิดรัฐบาลค้ำประกันราคาข้าวที่ 15,000 บาทต่อเกวียน ลูกหนี้จะจ่ายและชำระหนี้เป็นจำนวนเงินทั้งหมดที่ขายข้าวได้ ฯลฯ ซึ่งการกำหนดเช่นนี้อาจจะส่งผลให้ผู้ค้ำประกันต้องแบกรับภาระหนักกว่าที่จะสามารถมุ่งหวังได้ จึงมีการปรับปรุงแก้ไขในมาตรา 681 ว่า
“หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขจะ...จำต้องระบุจุดมุ่งหมายสำหรับการก่อหนี้สินรายที่รับประกัน รูปแบบของมูลหนี้สิน จำนวนเงินสูงสุดที่รับประกันและก็ช่วงเวลาในการก่อหนี้ที่จะค้ำประกัน...คำสัญญาค้ำประกันจำเป็นต้องกำหนดไว้โดยชัดแจ้ง รวมทั้งผู้ค้ำประกันย่อมรับผิดเฉพาะหนี้หรือคำสัญญาที่ระบุไว้เท่านั้น”ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับสารภาพอย่างเดียวกับลูกหนี้จากเดิมผู้ค้ำประกันจะต้องยอมสารภาพร่วมกับลูกหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดจ่ายและชำระหนี้ เจ้าหนี้จะบังคับให้ผู้ค้ำประกันจ่ายและชำระหนี้แทนลูกหนี้ได้โดยทันที ซึ่งไม่ยุติธรรมแก่ผู้ค้ำประกัน เนื่องจากว่าทำให้ผู้ค้ำประกันมีฐานะเป็นลูกหนี้ในขั้นแรก ด้วยเหตุนี้ กฎหมายใหม่ มาตรา 681/1 จึงเจาะจงให้ “ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันจำต้องรับผิดสิ่งเดียวกับลูกหนี้ร่วม...ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”ในหัวข้อนี้มีความเห็นอีกมุมจาก บุญทักษ์ หวังเจริญก้าวหน้า ประธานสมาคมแบงค์ไทย ว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างทันที เพราะว่าเดี๋ยวนี้ธนาคารพาณิชย์ และก็รัฐบาลเองถือเป็น ผู้ค้ำประกันรายใหญ่สุดของประเทศ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ตลอดจนรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลที่มีฐานะการเงินไม่ดี ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย ก็จะไม่มีสถาบันการเงินไหนปล่อยสินเชื่อ ในเวลาที่ สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นตรงกันแล้วก็บ่งชี้ปัญหาว่า การแก้กฎหมายดังที่กล่าวถึงมาแล้วมาจากการคิดว่าการรับรองเงินกู้ยืมมีแต่บุคคลสิ่งเดียว จนกระทั่งลืมว่าสถาบันการเงินก็เป็นผู้ค้ำประกันด้วย
ถ้าเกิดลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ต้องทำหนังสือแจ้งผู้ค้ำประกันภายใน 60 วันจากข้อบังคับเดิมที่มีหลักว่าแม้ลูกหนี้ผิดนัดเมื่อใดเจ้าหนี้สามารถที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันจ่ายหนี้ได้ทันที แต่ว่าในทางปฏิบัติไม่มีแนวทางการที่จะทำให้ผู้ค้ำประกันรู้ว่าลูกหนี้ผิดนัดใช้หนี้ และเจ้าหนี้เองมักจะทอดเวลาไว้เป็นเวลานานเกินจะเรียกผู้ค้ำประกันมาใช้หนี้ใช้สินแทนลูกหนี้ ทำให้ดอกจากหนี้สินนั้นเพิ่มปริมาณขึ้น และก็ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในหนี้สินบรรดาดอกรวมทั้งค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ติดทั้งปวง ประเด็นนี้ถูกมองว่าเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่ได้รับความชอบธรรม เนื่องจากแม้ผู้คำ้ประกัน https://moneyhomeloan.com/อสังหาริมทรัพย์-2/ รับจำนองขายฝาก บริการรับจำนอง ได้ทราบเมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็บางทีอาจเลือกเข้าจ่ายหนี้แทนโดยทันทีได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระจากดอกที่เพิ่มขึ้นด้วย ข้อบังคับใหม่ จึงปรับปรุงแก้ไขมาตรา 686 กำหนดให้
“เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวัน...และไม่ว่ากรณีใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันจ่ายหนี้ก่อนที่หนังสือแจ้งจะไปถึงไม่ได้...ในเรื่องที่เจ้าหนี้ไม่ได้มีหนังสือบอกข้างในกำหนดให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกและก็ค่าสินไหมทดแทน...ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นกำหนดช่วงเวลา”ในประเด็นนี้ ชุลีพร น่วมทนง รองเลขาธิการชมรมแบงค์ไทย พูดว่า ถ้าหากลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้จึงควรแจ้งผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน จะสร้างความยุ่งยากให้กับเจ้าหนี้ในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงและแก้ไขโครงสร้างหนี้ เช่น การลดหนี้ การขอหย่อนเวลา จำต้องให้ผู้ค้ำประกันยินยอม ซึ่งหากผู้ค้ำประกันไม่ยินยอมก็จะกำเนิดปัญหา และท้ายที่สุดเจ้าหนี้ก็ต้องฟ้องถ้าหากจ่ายมิได้ มาตรการกลุ่มนี้ไม่เอื้อให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ และก็จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในรูปภาพรวมเจ้าหนี้ต้องกำหนดในช่วงเวลาที่แน่นอน จะเขียนสัญญาให้ผู้ค้ำประกันยินยอมล่วงหน้าสำหรับเพื่อการผ่อนเวลาไม่ได้ข้อบังคับเดิมมีหลักว่าการผ่อนผันเวลาใช้หนี้ใช้สินให้แก่ลูกหนี้ย่อมทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดจากความยอมสารภาพ เว้นแต่ว่าผู้ค้ำประกันได้ให้ความยินยอมพร้อมใจกับการผ่อนเวลานั้น อย่างเช่น หากตามที่ได้กำหนดเดิมลูกหนี้จำต้องจ่ายและชำระหนี้ข้างในวันที่ 30 ม.ย. 2558 แม้กระนั้นเมื่อใกล้ถึงกำหนดเจ้าหนี้เห็นใจลูกหนี้ ก็เลยตกลงกันใหม่ให้ชำระข้างในวันที่ 30 เมษายน 2559 โดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงร่วมด้วย เช่นนี้ ถ้าเกิดถึงเวลาชำระในปี 2559 แล้วลูกหนี้ไม่ชำระเงิน เจ้าหนี้จะมาเรียกให้ผู้เย็นประกันใช้หนี้แทนมิได้แล้วแม้กระนั้นในทางปฏิบัติเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินอาจกำหนดไว้ในสัญญาเลยว่า ให้ผู้ค้ำประกันยอมล่วงหน้ากับการตกลงผ่อนเวลาจ่ายและชำระหนี้ ทำให้ผู้ค้ำประกันจะต้องรับภาระเกินสมควร ก็เลยมีการปรับแก้ มาตรา 700 ว่า
“การค้ำประกันต้องกำหนดตอนที่แน่นอน และก็หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดจากความยอมสารภาพ เว้นแต่ว่าผู้ค้ำประกันจะได้ตกลงด้วยสำหรับในการผ่อนเวลานั้น ข้อตกลงที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ล่วงหน้าก่อนเวลาอันมีผลยินยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลา ข้อตกลงนั้นใช้บังคับไม่ได้”
ผู้จำนองที่จำต้องประกันหนี้บุคคลอื่นไม่ต้องรับผิดเกินราคาสมบัติพัสถานที่จำนองสำหรับเพื่อการกู้เงินบ่อยมากลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินที่จะเอามาใช้เป็นประกัน ก็เลยไปหยิบยืมเอาเงินของคนอื่นมาเป็นประกันการใช้หนี้ ตัวอย่างเช่น นายก. จะกู้ยืมธนาคาร โดยขอให้นายข. พี่ชาย นำที่ดินของนายข. มาจำนำเป็นประกันการกู้ยืมเงิน แบบนี้หากนายก. ไม่ชำระหนี้ตามที่มีการกำหนด ธนาคารก็อาจจะยึดที่ดินของนายข. ที่จำนำไว้ เพื่อชำระหนี้แทนได้ในทางปฏิบัติเมื่อลูกหนี้ติดหนี้สิน เจ้าหนี้จะบังคับจำนำเอากับทรัพย์สินของผู้จำนอง แต่ว่าแม้เมื่อนำสินทรัพย์ที่จำนำออกขายแล้วได้ราคาไม่คุ้มกับปริมาณหนี้ที่ลูกหนี้ติด เจ้าหนี้ก็จะบีบคั้นผู้จำนองให้ต้องยอมสารภาพสำหรับหนี้ที่เหลืออยู่จนกระทั่งครบจำนวนประเด็นนี้ถูกเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับคนที่นำเงินทองของจนมาจำนองเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่แท้จริง ในกฎหมายใหม่จึงเพิ่ม มาตรา 727/1 ว่า
“เพื่อให้ผู้จำนองหนี้ที่บุคคลอื่นจะต้องชำระ (ลูกหนี้) ไม่ต้องรับสารภาพในหนี้ที่เกินราคาทรัพย์สินของตัวเอง โดยกติกาใดที่ส่งผลให้ผู้จำนองยอมรับผิดเกินจากนี้ กติกานั้นเป็นโมฆะ”ผู้จำนองมีสิทธิแจ้งให้เจ้าหนี้ขายทอดตลาดเงิน โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีความต่อศาลในกฎหมายเดิมไม่มีข้อกำหนดให้ผู้จำนองขอบังคับจำนองได้ก็เลยกำเนิดปัญหาว่าผู้รับจำนองบางทีก็เลือกจะไม่ปฏิบัติการบังคับคดีจำนองโดยด่วน เพื่อหวังจะได้รับดอกเบี้ยมากขึ้น ข้อบังคับใหม่ก็เลยเพิ่มบทบัญญัติใหม่ ว่า
“มาตรา 729/1 ในเวลาไหนๆหลังจากหนี้ถึงกำหนดจ่ายหนี้...ผู้จำนองมีสิทธิแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้รับจำนองเพื่อทำงานขายทอดตลอดเงินทอง โดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล โดยผู้รับจำนองจำต้องดำเนินงานภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง....ถ้าเกิด อสังหาริมทรัพย์ รับจำนองขายฝาก บริการรับจำนอง ผู้รับจำนำไม่ปฏิบัติงานภายในเวลาที่กำหนด ให้ผู้จำนองพ้นจากความยอมรับผิดในดอกและก็ค่าสินไหมทดแทนซึ่่งลูกหนี้ติดหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวมาแล้วข้างต้น” ดังนี้เมื่อผู้รับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองได้เงินปริมาณเท่าไร ผู้รับจำนำจำเป็นต้องแบ่งสรรใช้หนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ไป ถ้าเกิดมีเงินเหลือก็จำเป็นต้องสิ่งคืนให้แก่ผู้จำนองในหัวข้อนี้ กฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสศค. อธิบายให้เห็นภาพว่าที่ผ่านมาหากทรัพย์สิน อย่างเช่น ที่ดินมีมูลค่า 100 ล้านบาท ติดจำนำเพียงแค่ 50 ล้านบาท แต่ว่าด้วยเหตุว่าคดีเรื้อรังไป 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปี ทำให้มูลหนี้บวกกับดอกเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาคดีจาก 50 ล้านบาท เพิ่มเป็น 100 ล้านบาท หรือ 120 ล้านบาท ที่ดินที่เคยราคาแพงสูงขึ้นยิ่งกว่ามูลหนี้ ก็กลับมีราคาน้อยกว่ามูลหนี้สินรวมทั้งดอกรวมกัน ข้อบังคับใหม่ก็เลยปลดล็อกให้สามารถขายที่ดินได้ทันที แล้วก็เมื่อขายที่ดินได้ 100 ล้านบาทจ่ายคืนเจ้าหนี้ 50 ล้านบาท เงินที่เหลืออีก 50 ล้านบาทจำเป็นต้องคืนให้แก่ผู้จำนอง
{"html5":"htmlmixed","css":"css","javascript":"javascript","php":"php","python":"python","ruby":"ruby","lua":"text\/x-lua","bash":"text\/x-sh","go":"go","c":"text\/x-csrc","cpp":"text\/x-c++src","diff":"diff","latex":"stex","sql":"sql","xml":"xml","apl":"apl","asterisk":"asterisk","c_loadrunner":"text\/x-csrc","c_mac":"text\/x-csrc","coffeescript":"text\/x-coffeescript","csharp":"text\/x-csharp","d":"d","ecmascript":"javascript","erlang":"erlang","groovy":"text\/x-groovy","haskell":"text\/x-haskell","haxe":"text\/x-haxe","html4strict":"htmlmixed","java":"text\/x-java","java5":"text\/x-java","jquery":"javascript","mirc":"mirc","mysql":"sql","ocaml":"text\/x-ocaml","pascal":"text\/x-pascal","perl":"perl","perl6":"perl","plsql":"sql","properties":"text\/x-properties","q":"text\/x-q","scala":"scala","scheme":"text\/x-scheme","tcl":"text\/x-tcl","vb":"text\/x-vb","verilog":"text\/x-verilog","yaml":"text\/x-yaml","z80":"text\/x-z80"}